Health

  • คะน้า บำรุงสายตา มีสารอาหารสูงและต้านโรคได้
    คะน้า บำรุงสายตา มีสารอาหารสูงและต้านโรคได้

    คะน้า อาหารบำรุงสายตา มีสารอาหารสูง

    คะน้า มีสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์

    คะน้า เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนานาชนิด ซึ่งคะน้าสด 1 ถ้วยจะอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ดังนี้

    • วิตามินเค 684 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินเคที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • วิตามินเอ  206 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินเอที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • วิตามินซี 134 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินซีที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • แมงกานีส 26 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแมงกานีสที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • ทองแดง 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณทองแดงที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • วิตามินบี 6 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินบี 6 ที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • แคลเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • โพแทสเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • แมกนีเซียม 6 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน

    นอกจากนี้ ยังประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคบางชนิด โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่พบปริมาณมากในคะน้า คือ เควอซิทิน (Quercetin) และแคมป์เฟอรอล (Kaempferol) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสารเหล่านี้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านไวรัสได้

    คะน้ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน

    ผักใบเขียวที่มีสารอาหารสำคัญทางโภชนาการมากมาย จึงมีการกล่าวอ้างคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคะน้าในการช่วยบำรุงและรักษาปัญหาสุขภาพอย่างแพร่หลายด้วย โดยมีการศึกษาสรรพคุณทางยาของคะน้าในแง่มุมต่างๆ ดังนี้

    • คะน้ากับการบำรุงสายตา

    อายุที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ทว่าสารอาหารบางประเภทในคะน้าอาจช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคทางสายตาได้ เช่น ลูทีน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นต้น โดยมีงานวิจัยหนึ่งศึกษาแหล่งอาหารของลูทีนและซีแซนทินในด้านประสิทธิผลต่อสุขภาพตา พบว่ามีสารในตระกูลแคโรทีนอยด์อย่างลูทีนและซีแซนทินเป็นปริมาณมากในผักใบเขียวอย่างคะน้า ผักโขม และบร็อคโคลี่ โดยพบอัตราส่วนของสารดังกล่าวในคะน้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับผักใบเขียวชนิดอื่น ซึ่งสารเหล่านี้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณสมบัติของคะน้าในการบำรุงสายตาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป

    • คะน้ากับการลดระดับคอเลสเตอรอล

    ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงเกินไปอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งและโรคหัวใจได้ เนื่องจากคอเลสเตอรอลจะเกาะตัวกันบนผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบจนอาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวกและเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ หลายคนเชื่อว่าคะน้าเป็นผักชนิดหนึ่งที่อาจมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยมีงานวิจัยหนึ่งให้ผู้ป่วยเพศชายที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงจำนวน 32 คน ดื่มน้ำคะน้าปริมาณ 150 มิลลิลิตรเป็นประจำทุกวันติดต่อกันนาน 12 สัปดาห์ พบว่าน้ำคะน้าช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีต่อร่างกาย (High-Density Lipoprotein: HDL) ได้ 27 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) ได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์

    ส่วนการทดลองอีกชิ้นหนึ่งพบว่า ผักคะน้านึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการจับกรดน้ำดีในระบบย่อยอาหาร ซึ่งส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงคาดว่าการรับประทานคะน้านึ่งอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดได้

    แม้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณในการลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลของคะน้า แต่งานทดลองเหล่านี้ล้วนเป็นการทดลองขนาดเล็กในหลอดทดลองเท่านั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าถึงประสิทธิผลในด้านนี้เพิ่มเติม และอาจทดลองประสิทธิภาพในคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต

    • คะน้ากับการป้องกันมะเร็งเต้านม

    มะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ภายในเต้านมจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย แม้โรคนี้จะพบได้มากในเพศหญิงแต่ก็สามารถพบได้ในเพศชายเช่นกัน จึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพและตรวจเต้านมเป็นประจำ ซึ่งคะน้าอุดมไปด้วยสารประกอบอย่างอินโคล-3-คาร์ฟินอล (Indole-3-Carbinol) และซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ที่เชื่อว่าอาจมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ โดยมีการศึกษาชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ซัลโฟราเฟนอันเป็นสารประกอบที่พบในผักตระกูลกะหล่ำปลี เช่น คะน้า บร็อคโคลี่ และกะหล่ำดาว เป็นต้น อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็งและช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมได้ สอดคล้องกับการศึกษาประสิทธิภาพของผักตระกูลกะหล่ำปลีต่อโรคมะเร็งในหลายงานวิจัยที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าสารประกอบอินโคล-3-คาร์ฟินอล และซัลโฟราเฟนในผักตระกูลกะหล่ำปลีมีอิทธิพลต่อตัวรับเอสโตรเจนในเซลล์มะเร็งเต้านม จึงอาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้

    อย่างไรก็ตาม ยังคงจำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติในด้านนี้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มเติมต่อไป โดยควรค้นคว้าทั้งด้านประสิทธิผลทางการรักษาป้องกันโรคตลอดจนความปลอดภัยในการบริโภคคะน้าในผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถนำประโยชน์ของคะน้าไปประยุกต์ใช้ในการต้านมะเร็งในอนาคต

    คะน้า

    ผัก ผลไม้ 10 ชนิด ช่วยบำรุงสายตา

    1. ผักบุ้ง เป็นผักที่ช่วยบำรุงสายตาได้ดีมาก มีทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างดี นอกจากผักบุ้งจะวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือดได้อีกด้วย
    2. แครอท ประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามิน และแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแคโรทีนคือ วิตามินเอ สามารถช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาได้ดี วิตามินเอเป็นตัวช่วยให้มีผิวดี อีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็งได้
    3. ผักตำลึง ผักริมรั้วอย่างตำลึงมีเบต้าแคโรทีน สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตาได้อย่างดี
    4. ผักคะน้า คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาได้อีกด้วย
    5. ฟักทอง สามารถช่วยบำรุงสายตาได้ดี อีกทั้งยังดูแลผิวพรรณ การย่อยอาหาร ตับ ไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่า แว่ว ๆ มาว่า ฟักทองสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ดีเช่นกัน
    6. มะละกอ ผลไม้หาง่ายตัวนี้ อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานจะบำรุงผิวพรรณดี ลดริ้วรอยก่อนวัย และบำรุงสายตาได้ดี
    7. เสาวรส ผลรสไม้เปรี้ยวอมหวานมีวิตามินเอสูงมากๆ ช่วยในการทำงานของจอประสาทตาได้ดีขึ้น อีกทั้งพบว่ามีวิตามินซีมากกว่ามะนาว จึงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้
    8. ส้ม ส้มอุดมด้วยวิตามิน ซี เมื่อรับประทานเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อได้
    9. เบอร์รี่สีดำ ผลเบอร์รี่มีประโยชน์โดยตรงกับดวงตา อุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน ช่วยปกป้อง ชลอการเกิดต้อ และ ชลอการเกิดจอประสาทตาเสื่อม
    10. มะมุ่วงสุก อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร นอกเหนือจากสามารถบำรุงสายตาแล้ว ยังบำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้เป็นอย่างดี

    7 อาหารบำรุงสายตา แก้อาการเมื่อยล้าจากจอมือถือ

    1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เป็นกลุ่มผลไม้รสเปรี้ยวฉ่ำอมหวาน เป็นแหล่งของวิตามินซีมหาศาล เช่น โกจิเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่(ลูกหม่อนของไทย) เป็นต้น

    มีสารสำคัญอย่างสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงสายตาโดยตรง ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาและลดการเกิดต้อกระจกได้

    2. ผักใบเขียว

    ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ตำลึง กวางตุ้ง คะน้า ฯลฯ ผักเหล่านี้ล้วนอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง ลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างหนึ่ง จากการศึกษาพบว่าช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาและการเกิดต้อกระจกได้

    3. ไข่

    ไข่แดงเป็นแหล่งของสารอาหารลูทีน และซีแซนทีน รวมไปถึง ซิงค์ ด้วย ทั้งหมดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมของจอประสาทตา ทำให้เซลล์ต่างๆ ในดวงตาแข็งแรงอยู่เสมอ

    4. แครอท

    เป็นผักหัวใต้ดินที่มีคุณประโยชน์อันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ แครอท ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสายตาชั้นเยี่ยม อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และลูทีน ช่วยดูแลสุขภาพดวงตาของคุณให้สดใสแข็งแรงอยู่เสมอ ช่วยบำรุงกระจกตา ป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลายจากแสงแดดและรังสีอันตรายต่างๆ ช่วยส่งเสริมการทำงานของจอประสาทตา ไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร

    5. อะโวคาโด

    มาต่อกันที่ผลไม้รสนุ่มนวลอย่าง อะโวคาโด เจ้านี้มีประโยชน์ในการบำรุงสายตามากๆ เลย เพราะมีสารอาหารจำเป็น เช่น ลูทีน เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 6 และวิตามินซี โดยจะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันอาการตาฝ้าฟาง ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพดวงตาที่ร่วงโรยไปตามวัย

    6. อัลมอนด์

    ในอัลมอนด์อุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งผลการวิจัยพบว่าช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา แค่ทานวันละหนึ่งฝ่ามือ ก็ได้รับวิตามินอีถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำต่อวันแล้ว

    7. ปลาที่มีไขมันสูง

    จากการศึกษาทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ปลาที่มีไขมันประเภทดีอยู่จำนวนมาก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาแอนโชวี่ ปลาเทราต์ ปลาสวาย ฯลฯ ปลาพวกนี้อุดมไปด้วยกรดไขมัน DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในเรตินาของดวงตา ดังนั้นมันจึงตรงเข้าไปซ่อมแซมดวงตาของเราให้กลับมาสดใส มีน้ำหล่อลื่นเพียงพอ และยังช่วยห่างไกลจากโรคตาแห้งอีกด้วย

    จะเห็นว่านอกจากคะน้า ยังมีผัก ผลไม้ หลายชนิดที่กล่าวไว้ข้างต้น หาได้ตามรั้ว ตามสวน ที่บ้านของเรา หรือบางชนิดอาจจะต้องซื้อ แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างไหนปลูกได้ก็ปลูกกันไป ตามความเหมาะสม เพราะทุกอย่างไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อสายตา แต่ยังให้คุณค่าทางอาหารต่อร่างกายอีกด้วย

    ที่มา

     

    ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  tuttosulinux.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ คืออะไร
    เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ คืออะไร

    Bloomberg รายงานว่าไทยเป็นประเทศที่อัตราส่วนเงินทุนสำรองต่อ GDP ลดลงมากที่สุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (Emerging Asian Markets) โดยปลายปี 2021 อัตราส่วนนี้อยู่ที่ 48.6% ปัจจุบันลดลงมาที่ 43.1% ตามด้วยมาเลเซียและอินเดีย หากนับเป็นตัวเลขแล้วทุนสำรองของไทยลดลงไปราว 32,000 ล้านดอลลาร์ วันนี้มาสรุปว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ คืออะไร และสำคัญกับเศรษฐกิจยังไง

    เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร?

    เป็นสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การถือครองของธนาคารกลางแต่ละประเทศโดยเป็นสินทรัพย์ต่างประเทศ เช่น พันธบัตรสหรัฐฯ เงินสดของประเทศขนาดใหญ่ ทองคำ เป็นต้น

    เงินทุนส่วนนี้เปรียบเสมือนเงินออมของประเทศ ยิ่งมีมากยิ่งมีความมั่นคง เงินทุนส่วนหนึ่งถูกใช้ค้ำประกันธนบัตรที่พิมพ์ออกมาใช้ ในบางครั้งธนาคารกลางก็เลือกใช้ทุนสำรองแทรกแซงค่าเงินเพื่อรักษาสมดุลของเศรษฐกิจ

    เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

    เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น เงินไหลออก เป็นเหตุที่ต้องปกป้องค่าเงิน

    ตั้งแต่ต้นปี 2022 ค่าเงินบาทอ่อนค่าจากระดับ 33.3 บาท/ดอลลาร์ มาที่ 36.68 บาท/ดอลลาร์ คิดเป็นการอ่อนค่าราว 10% ในช่วงแรกเหตุผลอาจเกิดจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยดึงดูดเม็ดเงินจากทั่วโลก

    แต่หากดูในรายละเอียดแล้วจะพบว่าค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าอย่างชัดเจนในเดือน พ.ค. 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่การส่งออกเริ่มลดลงขณะที่การนำเข้ากลับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ (ขาดทุนการค้าระหว่างประเทศ)

    ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสะท้อนผ่าน GDP ไตรมาส 2 ซึ่งแม้จะขยายตัว 2.5% (YoY) แต่ยังต่ำกว่าคาดการณ์ว่าจะขยายตัวที่ 3.1% (YoY) แสดงว่าก็ไม่ใช่ตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับนักลงทุน

    อีกทั้งยังมีการปรับลดประมาณการ GDP ปี 2022 จาก 2.5-3.5% มาที่ 2.7-3.2% ซึ่งมีหลายประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่า ดังนั้นจึงพอจะบอกได้ว่าสภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีพอจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ

    ปัจจัยข้างต้นทั้งการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจภายใน ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องใช้เงินทุนสำรองปกป้องค่าเงินบาทตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีอีกปัญหาที่ปรากฎตัวขึ้นมา คือ เงินเฟ้อ โดยการปกป้องค่าเงินก็มีส่วนช่วยบรรเทาเงินเฟ้อจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นได้ส่วนหนึ่ง

    อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เหลืออยู่ก็มากพอจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งยังไม่มีท่าทีจะจบในเร็ววัน เพราะหลากหลายสาเหตุ ดังนี้

    ปัจจัยส่งเงินเฟ้อไทยไม่จบในเร็ววัน!!!

    น้ำมันยังแพง ค่าไฟก็ขึ้น แถมต้องแบกต้นทุนวัตถุดิบ

    ราคาน้ำมันในตลาดโลกเดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนไปแตะระดับสูงสุดที่ประมาณ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล จากนั้นย่อตัวลงซื้อขายกันที่ช่วง 85-90 ดอลลาร์/บาร์เรล

    แต่ด้วยมาตรการอุดหนุนราคาจากภาครัฐทำให้ต้นทุนพลังงานไม่ถูกส่งจากผู้ประกอบการสู่ผู้บริโภคอย่างเต็มที่ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อน ปัจจัยที่กล่าวมาส่งให้ราคาน้ำมันในประเทศยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อไป เพิ่มต้นทุนด้านพลังงานให้ผู้ประกอบการซึ่งน่าจะส่งต่อมายังผู้บริโภคแน่นอน

    ค่าไฟฟ้าก็กำลังเพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นค่า FT นับตั้งแต่เดือน ก.ย. เนื่องด้วยแนวโน้มราคาก๊าซ LNG ที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากต้นทุนการผลิตสินค้าของโรงงานที่จะเพิ่มขึ้น

    มากกว่านั้นสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิด เช่น ข้าวสาลี น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง ที่แม้ราคาจะลดลงแต่ก็ยังสูงเมื่อเทียบกับปี 2021 ขณะที่ภาคเกษตรในประเทศก็ยังต้องแบกรับต้นทุนปุ๋ยต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐที่กำลังลดลง ดังนั้นค่าครองชีพจึงดูไม่มีแนวโน้มจะลดลงในเร็ววัน

    การจ้างงานฟื้นตัว ค่าแรงขึ้นต่ำเพิ่มขึ้น

    ที่ผ่านมาเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากฝั่งต้นทุนผู้ผลิตแต่จากนี้จะได้รับผลจากอันมาจากฝั่งผู้บริโภค เนื่องด้วยตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มกลับมา

    ในอีกมุมหนึ่งฝั่งผู้ผลิตก็ยังมีปัจจัยภายในประเทศที่กดดันอยู่อีก ด้วยต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้นส่งผลให้มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศในวันที่ 1 ต.ค. นี้แล้ว คาดว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลต่อเงินเฟ้อในปี 2023

    เงินเฟ้อตอกย้ำวิกฤติต้มกบที่ไทยกำลังเผชิญอยู่

    ไตรมาสแรกของปี 2022 ไทยมีหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 89% ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 2-3% ด้านรัฐบาลก็จัดมาตรการกระตุ้นเข้ามาจนต้องขยับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP จาก 60% ไปที่ 70% แล้ว แน่นอนว่ามาตรการกระตุ้นคงมีน้อยลงไปบ้าง ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าไทยเข้าสู่วิกฤติต้มกบแล้ว

    เงินเฟ้อมีผลกดดันเศรษฐกิจในด้านการบริโภคครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยมีโอกาสสูงที่จะเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ซึ่งกลุ่มนี้มีรายจ่ายอาหาร 45% ของรายจ่ายทั้งหมดต่อเดือน ซึ่งสินค้าประเภทอาหารมีการปรับราคาที่รวดเร็วกระทบต่อครัวเรือนที่รายได้น้อยแน่นอน นับเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงสำหรับเศรษฐกิจไทยอย่างมาก

    เศรษฐกิจไม่ดี “เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ” ไหลออก ค่าเงินอ่อน วนลูปซ้ำเติมเงินเฟ้อ

    จะเห็นว่าเงินบาทที่อ่อนค่ามีผลต่อเงินเฟ้อของประเทศ โดยยังมีแนวโน้มที่เงินบาทจะยังคงอ่อนค่าทั้งด้วยการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของ Fed และสภาพเศรษฐกิจไทยที่ไม่น่าสนใจ หากค่าเงินบาทยังอ่อนต่อไปย่อมส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจอีกแน่นอน

    ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยมีการใช้ทุนสำรองเพื่อแทรกแซงค่าเงิน จนลดลงจากจุดสูงสุดที่เกือบ 260,000 ล้านดอลลาร์ มาที่ 215,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงมาแล้ว 17% และแทบไม่มีช่วงไหนเลยที่ทุนสำรองลดรวดเร็วขนาดนี้

    Divya Devesh หัวหน้าฝ่ายอัตราแลกเปลี่ยนในอาเซียนและเอเชียประจำสิงคโปร์ของ Standard Chartered กล่าวว่า การลดลงของระดับทุนสำรองสะท้อนว่าการเข้าแทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลางในช่วงหลังจากนี้อาจทำได้จำกัด และคาดว่าจะลดการพยุงค่าเงิน

    นั่นหมายความหากเป็นเช่นนั้นจริง!!! เศรษฐกิจและประชาชนกำลังเผชิญกับปัญหาเรื้อรังที่หนักขึ้นทุกวัน ภาครัฐของไทยต้องมีมาตรการทางเศรษฐกิจที่ตรงจุดในระยะสั้นและแผนที่ชัดเจนในระยะยาว เช่น การลดหนี้ เพิ่มสวัสดิการ และเพิ่มความสามารถในการหารายได้ มิฉะนั้นน้ำที่กำลังต้มกบอยู่อาจถึงเวลาเดือดแล้วก็ได้

    แต่สิ่งที่คงจะแน่นอนแล้ว นั่นคือยังไม่สามารถพูดได้ว่าเศรษฐกิจอยู่ในจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว และหลายประเทศอาจเพิ่งรู้ตัวว่ารู้จักผลของเงินเฟ้อน้อยเกินไป หลังไม่ได้เผชิญกับเงินเฟ้อมาหลายทศวรรษ


    ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
    ประชากรจีนลดต่ำเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ต่อเนื่องปีที่ 2
    วิธีลงทะเบียนสำหรับ Mercedes me Charge
    เหตุใดประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญ และจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคต
    วิธีไขปริศนาแผ่นโลหะ Diablo ทั้งหมดในเกม Diablo 4
    ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://tuttosulinux.com/
    สนับสนุนโดย  ufabet369
    ที่มา www.moneybuffalo.in.th